Omega-3 Fatty Acids คืออะไร?
Omega-3 Fatty Acids คือกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acids – PUFAs) ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จึงต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญที่สุดคือ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ซึ่งพบมากในปลาทะเล และ ALA (Alpha-linolenic Acid) ซึ่งพบในพืช
Omega-3 Fatty Acids พบมากใน
- แหล่งจากสัตว์: ปลาทะเลน้ำลึกและน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่า, ปลาเฮอร์ริ่ง, ปลาคอด
- แหล่งจากพืช: ถั่วดาวอินคา, เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, วอลนัท, น้ำมันคาโนล่า (ส่วนใหญ่เป็น ALA ซึ่งร่างกายต้องเปลี่ยนไปเป็น EPA และ DHA ในปริมาณที่จำกัด)
Omega-3 มีสรรพคุณต่อสุขภาพมากมาย
- สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์, ลดความดันโลหิต, ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด, ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EPA)
- สุขภาพสมองและระบบประสาท: มีบทบาทสำคัญในการทำงานของสมอง, ช่วยพัฒนาการทางสติปัญญา, ความจำ, และการเรียนรู้ ลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DHA)
- ลดการอักเสบ: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- สุขภาพตา: DHA เป็นส่วนประกอบสำคัญของจอประสาทตา ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
- สุขภาพจิต: มีส่วนช่วยในการลดอาการของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล โดยเฉพาะ EPA
Omega-3 ฟอร์มไหนดูดซึมดีที่สุด?
โอเมก้า 3 ที่พบในอาหารธรรมชาติ (เช่น ปลา) จะอยู่ในรูปของ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride – TG) ซึ่งเป็นฟอร์มที่ร่างกายดูดซึมได้ดีเยี่ยม สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีหลายฟอร์ม
- Re-esterified Triglyceride (rTG): เป็นฟอร์มที่ผ่านการแปรรูปจาก Ethyl Esters กลับมาเป็นโครงสร้างไตรกลีเซอไรด์อีกครั้ง มีการดูดซึมที่ดีเยี่ยมใกล้เคียงกับฟอร์มธรรมชาติ
- Free Fatty Acid (FFA): เป็นฟอร์มที่ดูดซึมได้ดีเช่นกัน แต่ไม่ค่อยพบในผลิตภัณฑ์ทั่วไป
- Ethyl Ester (EE): เป็นฟอร์มที่พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากสามารถผลิต EPA และ DHA ที่มีความเข้มข้นสูงได้ง่ายกว่า แต่โดยทั่วไปแล้ว การดูดซึมของฟอร์ม EE จะด้อยกว่าฟอร์ม TG และ rTG
- Monoacylglycerides (MAG): เป็นฟอร์มที่กำลังมีการศึกษาว่าอาจดูดซึมได้ดีกว่า EE และ TG ในบางกรณี
โดยสรุปแล้ว ฟอร์มไตรกลีเซอไรด์ (TG) และ Re-esterified Triglyceride (rTG) ถือว่ามีการดูดซึมที่ดีที่สุด
ปริมาณที่งานวิจัยแนะนำต่อวัน
เพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดี องค์กรสุขภาพส่วนใหญ่แนะนำปริมาณ EPA และ DHA รวมกัน 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถได้รับจากการบริโภคปลาที่มีไขมันประมาณ 8 ออนซ์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 226 กรัม)
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 2,000-4,000 มิลลิกรัมของ EPA และ DHA รวมกันต่อวัน และไม่ควรเกิน 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์

EPA (Eicosapentaenoic Acid)
EPA คืออะไร? EPA
เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการลดการอักเสบในร่างกายและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
EPA พบมากใน
EPA พบมากใน ปลาทะเลน้ำลึกและน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน, ปลาเฮอร์ริ่ง
EPA สรรพคุณ คือ
- ลดการอักเสบ: EPA มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่โดดเด่น ช่วยลดการสร้างสารสื่ออักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ
- สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: มีประสิทธิภาพในการ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยปรับปรุงระดับคอเลสเตอรอล, ลดความดันโลหิต, และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- สุขภาพจิต: งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า EPA อาจมีประโยชน์ในการลดอาการของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
DHA (Docosahexaenoic Acid)
DHA คืออะไร?
DHA เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างและการทำงานของสมองและดวงตา
มีมากในอะไร? DHA พบมากใน
- ปลาทะเลน้ำลึกและน้ำเย็น: เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า
- สาหร่ายบางชนิด: เป็นแหล่งที่ดีของ DHA สำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ
- นมแม่: มี DHA สูง ซึ่งสำคัญต่อพัฒนาการของทารก
DHA สรรพคุณ
- สุขภาพสมอง: DHA เป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์สมอง (ประมาณ 30% ของเนื้อสมอง) มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท, ความจำ, การเรียนรู้ และช่วยชะลอการเสื่อมของสมองตามวัย
- สุขภาพตา: เป็นส่วนประกอบสำคัญของจอประสาทตา ช่วยในการมองเห็นที่คมชัด และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ
- พัฒนาการ: มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของสมองและสายตาในทารกและเด็กเล็ก