Phosphatidylserine (PS) คืออะไร?
Phosphatidylserine (PS) เป็นฟอสโฟลิปิด (ไขมันชนิดหนึ่ง) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์สมอง มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยปกป้องเซลล์สมอง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณวัฏจักรเซลล์ รวมถึงอะพอพโทซิส (การตายของเซลล์ที่ถูกตั้งโปรแกรม)
Phosphatidylserine (PS) พบมากใน
ร่างกายสามารถผลิต Phosphatidylserine ได้เอง แต่ส่วนใหญ่จะได้รับจากอาหารและอาหารเสริม แหล่งอาหารที่มี PS สูงได้แก่
- ถั่วเหลือง: เป็นแหล่งที่นิยมใช้ในการสกัด PS สำหรับอาหารเสริม
- ไข่แดง
- เนื้อสัตว์: เช่น ตับ เนื้อแดง
- ปลา: โดยเฉพาะปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาแฮริง
- ผักใบเขียว
- จมูกข้าวสาลี
Phosphatidylserine (PS) มีสรรพคุณ
Phosphatidylserine มีสรรพคุณหลักที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท ดังนี้
- ช่วยบำรุงสมองและความจำ: PS เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ประสาท ช่วยให้การสื่อสารของระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความจำ การเรียนรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหาดีขึ้น
- ลดภาวะสมองเสื่อม: อาจช่วยชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทในสมอง และลดความเสี่ยงหรือบรรเทาอาการของโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
- ลดความเครียดและความวิตกกังวล: ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล ทำให้เกิดความสมดุลทางอารมณ์ และลดความอ่อนล้าของสมอง
- เพิ่มสมาธิและการเรียนรู้: มีประโยชน์ต่อทุกช่วงวัย รวมถึงเด็กที่มีอาการสมาธิสั้น (ADHD) ช่วยให้มีสมาธิ จดจ่อได้นานขึ้น
- ฟื้นฟูสมอง: ช่วยซ่อมแซมความเสียหายของสมองและคงสภาพระบบประสาทการรับรู้ในผู้สูงอายุ
Phosphatidylserine (PS) ฟอร์มไหนดูดซึมดีที่สุด?
โดยทั่วไปแล้ว Phosphatidylserine ในรูปแบบอาหารเสริมมักจะมาในรูปของ Softgels หรือแคปซูล ซึ่งเป็นรูปแบบที่สะดวกต่อการรับประทาน ในแง่ของการดูดซึม มีคำแนะนำว่าการรับประทาน PS ตอนท้องว่าง หรือก่อนอาหารประมาณ 30 นาที อาจช่วยให้ดูดซึมได้ดีขึ้น เนื่องจาก PS เป็นสารไขมันที่มีโครงสร้างคล้ายฟอสโฟลิปิดในสมอง และการดูดซึมจะดีกว่าเมื่อไม่มีอาหารมาแข่งขันหรือชะลอการดูดซึม อย่างไรก็ตาม ฉลากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ก็แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือวันละ 3 ครั้ง
Phosphatidylserine (PS) ปริมาณที่งานวิจัยแนะนำต่อวัน
- สำหรับสุขภาพสมองโดยรวมและการทำงานของความจำ: งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าปริมาณ 100-300 มิลลิกรัมต่อวัน มีความปลอดภัยและอาจช่วยปรับปรุงความจำและความสามารถในการรับรู้
- เพื่อส่งเสริมความเร็ว ความแม่นยำ และความจำในสภาวะที่เหนื่อยล้า: การศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่าปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวัน อาจมีประสิทธิภาพ
- สำหรับโรคอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อม: มีการใช้ปริมาณที่สูงขึ้นคือ 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งเป็นหลายโดส
อาจพิจารณาเริ่มต้นที่ประมาณ 100-300 มิลลิกรัมต่อวัน และหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นหรือมีข้อกังวลเรื่องการทำงานของสมอง อาจปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาปริมาณที่เหมาะสมเพิ่มเติม ซึ่งอาจสูงถึง 400 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและอ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนรับประทาน.