น้ำ อุจจาระ และสารให้ความหวาน: จุดเริ่มต้นของสุขภาพจากสิ่งที่เรามองข้าม
การดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนไม่ได้เริ่มจากอาหารเสริมราคาแพงหรือเทรนด์สุดฮิตในโซเชียลมีเดีย แต่เริ่มจากเรื่องพื้นฐานอย่าง “น้ำในร่างกาย”, “การขับถ่าย” และ “ความหวาน” ที่แฝงตัวอยู่ในอาหารของเราทุกวัน บทความนี้จะพาคุณสำรวจความลับของกลไกร่างกายเหล่านี้ โดยอิงจากข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์และกรณีศึกษาจริง
อินซูลินไม่ใช่ผู้ร้าย และไขมันคือปัญหาที่แท้จริง
อินซูลินคือฮีโร่ ไม่ใช่ศัตรู
หลายคนเข้าใจผิดว่าอินซูลินทำให้เราอ้วน แท้จริงแล้ว อินซูลินคือฮอร์โมนที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อสร้างพลังงาน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีไขมันสะสมมากจนดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ต้องผลิตอินซูลินมากขึ้นเรื่อยๆ
การลดแป้งไม่ใช่การรักษา แต่คือการกดอาการ
การงดแป้งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่ได้แก้ต้นเหตุของเบาหวานหรือโรคอ้วน ซึ่งคือการสะสมของไขมัน การรักษาที่แท้จริงคือต้องลดไขมันในเซลล์
กรณีศึกษา: สุขภาพดีขึ้นได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย
การเปลี่ยนอาหารเปลี่ยนชีวิต
หญิงวัย 59 ปีที่เปลี่ยนมาเน้นอาหารจากพืช (Plant-based) และดื่มน้ำวันละ 2.5 ลิตร พบว่าน้ำหนักลดลง 5 กิโลกรัม อาการข้อเข่าอักเสบหาย และไขมันในเลือดดีขึ้นอย่างชัดเจน
-
คอเลสเตอรอล: 179 → 126
-
ไตรกลีเซอไรด์: 174 → 83
-
LDL: 84 → 74
ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการออกกำลังกายเพิ่มเติม
น้ำคือชีวิต: ปริมาณที่เหมาะสมและวิธีดื่มให้ได้ผล
น้ำ 70% ของร่างกายคือพลังชีวิต
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำถึง 70% และสามารถขาดอาหารได้นานกว่าน้ำ
งานวิจัยจาก How Not to Diet แนะนำว่าผู้หญิงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตร/วัน และผู้ชาย 3 ลิตร/วัน
แหล่งอ้างอิง: https://www.verywellhealth.com/how-much-water-should-you-drink-per-day-11767733
สังเกตสีปัสสาวะเพื่อประเมินร่างกาย
-
สีเหลืองอ่อนจนถึงใส = ดื่มน้ำเพียงพอ
-
สีเข้มหรือมีกลิ่นแรง = ดื่มน้ำไม่พอ
น้ำเย็นช่วยเผาผลาญได้มากกว่า
การดื่มน้ำเย็น 2 แก้ว (480 มล.) ตอนท้องว่างช่วยเพิ่มการเผาผลาญ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิของน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกาย
แหล่งอ้างอิง: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2859815/
ดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารไม่เป็นอันตราย
ไม่มีหลักฐานว่าการดื่มน้ำจะรบกวนเอนไซม์ย่อยอาหาร และในทางตรงกันข้าม น้ำในผักและผลไม้ก็ไม่เคยเป็นปัญหาต่อระบบย่อยอาหาร

อุจจาระ : กระจกเงาของสุขภาพ
ลักษณะอุจจาระที่ดี
-
สี: น้ำตาลอ่อน หรือเหลืองเข้ม
-
กลิ่น: ไม่แรง
-
รูปร่าง: เป็นแท่งนิ่ม เรียวยาว
-
ความถี่: อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
ลักษณะอุจจาระสามารถบ่งบอกปัญหาสุขภาพ เช่น สีแดง → อาจมีเลือด, สีดำเหนียว → อาจมีแผลในกระเพาะ, สีซีด → อาจมีปัญหาตับหรือท่อน้ำดี
แหล่งอ้างอิง: https://www.verywellhealth.com/healthy-and-unhealthy-stool-89211
ความหวาน: ศัตรูเงียบของสมองและระบบเผาผลาญ
สารให้ความหวานหลอกสมอง
แม้จะไม่มีแคลอรี่ แต่สารให้ความหวาน เช่น แอสปาแตม, ซูคราโลส, สตีเวีย หรือหล่อฮังก้วย ล้วนส่งผลให้สมองหลั่งอินซูลินและกระตุ้นความอยากอาหารในมื้อถัดไป
แหล่งอ้างอิง: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2900484/
คนที่บริโภคสารให้ความหวาน มีแนวโน้มกินอาหารมากขึ้น
งานวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานจะเลือกอาหารที่มีแคลอรี่สูงขึ้น และพึงพอใจกับรสชาติหวานน้อยลง
แหล่งอ้างอิง: https://www.ahajournals.org/doi/pdf/10.1161/JAHA.119.015668
ทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับความหวาน
สารให้ความหวานธรรมชาติที่ยังมีคุณค่า
-
น้ำตาลอินทผาลัม – ทำจากผลอินทผาลัมแห้งบด
-
กากน้ำตาล (Blackstrap molasses) – อุดมด้วยแร่ธาตุ
-
ยาคอร์นไซรัป – มีแร่ธาตุจากพืชตระกูลหัว
ถึงแม้จะดีกว่า แต่ถ้าเลิกติดรสหวานได้เลยก็จะดีที่สุด
สารบัญ บทความ โภชนบำบัด อาหารบำบัดโรค