วิตามินซี (Vitamin C) หรือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid)
เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ และเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วิตามินซี (Vitamin C) มีมากในอะไร?
วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะ
- ผลไม้: ฝรั่ง, มะขามป้อม, ส้ม, กีวี, สตรอว์เบอร์รี, มะละกอ, แคนตาลูป
- ผัก: พริกหวาน, ผักคะน้า, บรอกโคลี, ดอกกะหล่ำ, ถั่วลันเตา, มะรุม, มะระ, ผักหวาน, ยอดสะเดา, ใบปอ, มะเขือเทศ, มันฝรั่ง
วิตามินซี (Vitamin C) มีสรรพคุณ
วิตามินซีมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายหลายประการ ได้แก่
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant): ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมของเซลล์และโรคเรื้อรังต่างๆ
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวและเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและลดความเสี่ยงของการเป็นหวัด
- ช่วยในการสร้างคอลลาเจน: เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างที่จำเป็นต่อผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็น หลอดเลือด และเหงือก ทำให้เนื้อเยื่อเหล่านี้แข็งแรงและซ่อมแซมได้ดี
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก: โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (Non-heme iron) ที่พบในพืชผัก
- ช่วยสมานแผล: ส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย
- ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด (Scurvy): ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรง
วิตามินซี (Vitamin C) ฟอร์มไหนดูดซึมดีที่สุด?
วิตามินซีมีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่ดูดซึมได้ดีที่สุดและมีงานวิจัยรองรับ ได้แก่
- รูปแบบของเหลว (Liquid formulations): งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าวิตามินซีในรูปแบบของเหลว เช่น เครื่องดื่ม อาจมีการดูดซึมในพลาสมาได้ดีกว่ารูปแบบเม็ดหรือแคปซูล โดยเฉพาะในผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อสูง
- ไลโปโซมอลวิตามินซี (Liposomal Vitamin C): เป็นรูปแบบที่ใช้เทคโนโลยีไลโปโซม (lipid molecules) ห่อหุ้มวิตามินซีไว้ ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้นและมีระดับในกระแสเลือดสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม, วิตามินซีในรูปของกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งเป็นรูปแบบทั่วไป ก็ยังคงเป็นรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ดีเช่นกัน แต่การแบ่งรับประทานในปริมาณน้อยๆ บ่อยครั้งตลอดวัน อาจช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าการรับประทานครั้งเดียวในปริมาณมาก เนื่องจากกลไกการดูดซึมของวิตามินซีมีขีดจำกัด
เปรียบเทียบ Buffered Vitamin C vs Liposomal Vitamin C
ประเด็น | Buffered Vitamin C | Liposomal Vitamin C |
---|---|---|
คืออะไร? | วิตามินซีที่ถูก “บัฟเฟอร์” ให้เป็นกลาง (pH 6–7) โดยรวมกับแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม, โซเดียม, แมกนีเซียม | วิตามินซีที่ถูกห่อหุ้มในไขมัน (liposome) เพื่อเพิ่มการดูดซึม |
ดูดซึมได้ดีแค่ไหน? | ดูดซึมได้ดีในระดับปกติของวิตามินซีทั่วไป (~15–30%) | ดูดซึมได้สูงกว่ามาก (~70–90%) เข้าสู่กระแสเลือดโดยไม่ถูกย่อย |
ผลต่อกระเพาะอาหาร | อ่อนโยนต่อกระเพาะ เหมาะกับคนที่แพ้กรด/เป็นโรคกระเพาะ | อ่อนโยนเช่นกัน แต่บางคนอาจไม่สบายท้องจาก lipid capsule บางยี่ห้อ |
จุดเด่น | ไม่ระคายกระเพาะ, มีแร่ธาตุช่วยเสริม (เช่น Calcium Ascorbate) | ดูดซึมดีเยี่ยม, ออกฤทธิ์ได้นาน, เพิ่มระดับ plasma ได้สูง |
จุดด้อย | ดูดซึมได้จำกัดเมื่อเทียบกับ liposomal | ราคาแพงกว่า, บางแบรนด์คุณภาพไม่สม่ำเสมอ (liposome ไม่สมบูรณ์) |
เหมาะกับใคร? | คนที่กินวิตามินซีแล้วปวดท้อง, มีโรคกระเพาะ, ต้องการแร่ธาตุเสริม | คนที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ภูมิคุ้มกัน, ผิว, ต้านอนุมูลอิสระ |
ตัวอย่างรูปแบบ | Calcium Ascorbate, Sodium Ascorbate, Magnesium Ascorbate | Liposomal C จาก sunflower lecithin หรือ phosphatidylcholine |
ราคา (โดยประมาณ) | ถูกกว่า (500–1,000 บาท/ขวด 100–250 กรัม) | แพงกว่า (1,000–2,500 บาท/ขวด 30–60 ซองหรือแคปซูล) |
สรุปคำแนะนำ
วัตถุประสงค์ | แนะนำ |
---|---|
เสริมภูมิคุ้มกันทั่วไป / เป็นหวัด / ใช้ประจำวัน | Buffered Vitamin C |
ต้องการดูดซึมสูงสุดเพื่อผิว, ระบบภูมิ, ต้านอักเสบ, หลังผ่าตัด | Liposomal Vitamin C |
เป็นโรคกระเพาะ / แพ้วิตามินซีชนิดกรด | Buffered Vitamin C |
ใช้เสริมระยะสั้นและเข้มข้น เช่น ช่วงป่วยหนัก / เสริม IV | Liposomal Vitamin C |
ปริมาณที่งานวิจัยแนะนำต่อวัน
ตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสุขภาพต่างๆ (เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา) คือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์ด้านการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือเสริมภูมิคุ้มกัน อาจพิจารณารับประทานในปริมาณที่สูงขึ้น โดยงานวิจัยบางชิ้นและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญบางท่านระบุว่า:
- สำหรับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือต้านอนุมูลอิสระ: อาจพิจารณาปริมาณตั้งแต่ 1,000 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยควรแบ่งรับประทานครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม เช่น แบ่งเป็น 2-4 ครั้งต่อวัน พร้อมอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้นและลดโอกาสการขับออกทางปัสสาวะ
- ปริมาณสูงสุดที่ปลอดภัย (Tolerable Upper Intake Level – UL): สำหรับผู้ใหญ่กำหนดไว้ที่ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน การรับประทานเกินปริมาณนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตได้ หากต้องการรับประทานในปริมาณที่สูงกว่านี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
- ผู้สูบบุหรี่: มีความต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidative stress) ที่เพิ่มขึ้นจากการสูบบุหรี่
- การรับประทานจากอาหาร: พยายามรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามินซีและสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
- ปรึกษาแพทย์: หากมีโรคประจำตัว หรือกำลังรับประทานยาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเสริมวิตามินซีในปริมาณสูง เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้