วิตามินดี ( Vitamin D ) มีกี่ชนิด อะไรบ้าง?
วิตามินดีมี 2 ชนิดหลักที่สำคัญต่อร่างกาย ได้แก่
- วิตามินดี 2 (Vitamin D2 หรือ Ergocalciferol)
-
- คืออะไร: เป็นวิตามินดีที่พบในพืช เห็ดบางชนิด (ที่ได้รับแสงแดดหรือ UV) และยีสต์
- มีมากในอะไร: พบในเห็ดบางชนิดที่ตากแห้งหรือได้รับรังสียูวี, อาหารที่เสริมวิตามินดี (เช่น นมบางชนิด, ซีเรียล)
- สรรพคุณ: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส เสริมสร้างกระดูกและฟัน
- วิตามินดี 3 (Vitamin D3 หรือ Cholecalciferol)
- คืออะไร: เป็นวิตามินดีที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับรังสียูวีบี (UVB) จากแสงแดดอ่อนๆ และยังพบในอาหารจากสัตว์
- พบมากใน
- แหล่งธรรมชาติ: แสงแดด (โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือเย็น), ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล, ไข่แดง, น้ำมันตับปลา
- อาหารเสริม: วิตามินดี 3 มักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วิตามินดี ( Vitamin D ) สรรพคุณ
- สุขภาพกระดูกและฟัน: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกอ่อน
- ระบบภูมิคุ้มกัน: มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวหลายชนิด (เช่น ทีเซลล์, แมคโครฟาจ) ให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- อารมณ์และสุขภาพจิต: ช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินมากขึ้น ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
-
- ลดความเสี่ยงโรค: มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งบางชนิด
- การทำงานของกล้ามเนื้อ: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
วิตามินดี ( Vitamin D ) ฟอร์มไหนดูดซึมดีที่สุด?
วิตามินดี 3 (Cholecalciferol) เป็นรูปแบบที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ดีและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี 2
วิตามินดี ( Vitamin D ) ปริมาณที่งานวิจัยแนะนำต่อวัน
ในช่วงอายุ 19-70 ปี ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวันตามคำแนะนำของคณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย คือ 600 IU (15 ไมโครกรัม) ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หากมีภาวะขาดวิตามินดีหรือมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อตรวจระดับวิตามินดีในเลือดและรับคำแนะนำในการเสริมวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสม เพราะปริมาณสูงสุดที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปคือ 4,000 IU (100 ไมโครกรัม) และการได้รับมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้