วิตามิน E (Mixed Tocotrienols + Tocopherols) คืออะไร?
วิตามินอี เป็นกลุ่มของสารประกอบที่เรียกว่า “โทโคโครมานอล” (tocochromanols) ซึ่งประกอบด้วย 4 โทโคฟีรอล (tocopherols) และ 4 โทโคไตรอีนอล (tocotrienols) แต่ละกลุ่มมี 4 รูปแบบย่อย ได้แก่ แอลฟา (alpha), เบต้า (beta), แกมมา (gamma) และ เดลต้า (delta)
Mixed Tocotrienols + Tocopherols
หมายถึง การรวมวิตามินอีในทุกรูปแบบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
วิตามิน E พบมากใน
- น้ำมันจากพืช: เช่น น้ำมันรำข้าว, น้ำมันมะกอก, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันอัลมอนด์, น้ำมันจมูกข้าวสาลี
- ถั่วและเมล็ดพืช: เช่น ถั่วอัลมอนด์, เฮเซลนัท, เมล็ดฟักทอง
- ผักใบเขียว: เช่น ผักโขม
- ผลไม้: เช่น มะม่วง, กีวี, มะเขือเทศ, อะโวคาโด
- อาหารอื่นๆ: ซีเรียล, เนื้อสัตว์, สัตว์ปีก, ไข่
วิตามิน E มีสรรพคุณ
- สารต้านอนุมูลอิสระ: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมของเซลล์และโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง, อัลไซเมอร์, และโรคหัวใจ
- บำรุงผิวพรรณ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลภาวะ อาจช่วยลดเลือนริ้วรอย
- บำรุงสมองและระบบประสาท: มีบทบาทในการทำงานของสมองและระบบประสาท
- บำรุงดวงตา: ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา
- บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง: มีส่วนช่วยในการบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง
- สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: โดยเฉพาะโทโคไตรอีนอล อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล, ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง รวมถึงช่วยลดความดันโลหิต
สรรพคุณของ Mixed Tocotrienols + Tocopherols
หมวด | สรรพคุณหลัก | รายละเอียด |
---|---|---|
1. ต้านอนุมูลอิสระแรงสูง (Antioxidant) | ✅ | Tocotrienols โดยเฉพาะ γ- และ δ- มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า α-tocopherol ถึง 40–60 เท่า |
2. ปกป้องผิวจากริ้วรอย/แสงแดด | ✅ | ช่วยลดการเกิดเม็ดสี, ป้องกันคอลลาเจนถูกทำลายจาก UVB, เสริมความยืดหยุ่นผิว |
3. ลดการอักเสบในระดับเซลล์ | ✅ | Tocotrienols ยับยั้ง NF-κB และ COX-2 pathway ที่เกี่ยวกับการอักเสบ |
4. บำรุงสมองและป้องกันโรคเสื่อม | ✅ | มีบทบาทในการป้องกันความเสื่อมของระบบประสาท เช่น Alzheimer’s โดยลดการตายของเซลล์สมอง |
5. เสริมสุขภาพหัวใจหลอดเลือด | ✅ | ลด LDL oxidation, ลดไขมันในเลือด, ลด arterial stiffness |
6. สนับสนุนการป้องกันมะเร็งบางชนิด | ✅ | Tocotrienols กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง, ยับยั้ง angiogenesis (โดยไม่ทำลายเซลล์ดี) |
🎯 เปรียบเทียบ Tocopherol vs Tocotrienol
ด้าน | Tocopherol | Tocotrienol |
---|---|---|
โครงสร้างเคมี | ห่วงเบนซีน + หางอิ่มตัว | ห่วงเบนซีน + หางไม่อิ่มตัว (double bond 3 ตำแหน่ง) |
ต้านอนุมูลอิสระ | ปานกลาง (α- ดีสุดในกลุ่ม) | สูงกว่าโดยเฉพาะ γ-, δ- |
การสะสมในตับ | สูง (α-tocopherol) | ต่ำ (กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อมากกว่า) |
ประสิทธิภาพในสมอง หลอดเลือด มะเร็ง | น้อย | สูงกว่าชัดเจน |
วิตามินอีแบบคลาสสิกที่พบทั่วไป | ✅ | ❌ (พบยากกว่า, ต้องเสริมเฉพาะ) |
💊 ขนาดแนะนำ (จากงานวิจัย)
สาร | ขนาดแนะนำต่อวัน | หมายเหตุ |
---|---|---|
Mixed Tocotrienols | 100–200 mg | เน้น γ, δ เป็นหลัก |
Mixed Tocopherols | 100–400 IU | เน้นให้มีครบ α, β, γ, δ |
⚠️ ไม่ควรใช้ d-alpha-tocopherol เดี่ยว | เพราะขัดขวางการดูดซึม tocotrienol |
วิตามิน E ฟอร์มไหนดูดซึมดีที่สุด?
วิตามินอีจะถูกดูดซึมในลำไส้เล็กพร้อมกับไขมัน ดังนั้นการรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีที่สุด
ในส่วนของรูปแบบของวิตามินอี:
- d-alpha-tocopherol (ดี-อัลฟา-โทโคฟีรอล): เป็นรูปแบบของวิตามินอีที่พบมากที่สุดในธรรมชาติและออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์
- Tocotrienols: แม้ว่าโทโคไตรอีนอลจะพบในปริมาณน้อยกว่าโทโคฟีรอลในอาหารทั่วไป แต่ก็มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลและปกป้องเซลล์ประสาท
- Mixed Tocopherols and Tocotrienols: การรับประทานวิตามินอีแบบผสมทั้งโทโคฟีรอลและโทโคไตรอีนอลในสัดส่วนที่สมดุล อาจให้ประโยชน์ที่ครอบคลุมมากกว่า เพราะแต่ละรูปแบบมีบทบาทที่แตกต่างกันในการปกป้องเซลล์และเสริมสุขภาพโดยรวม
วิตามิน E ปริมาณที่งานวิจัยแนะนำต่อวัน
ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำโดยทั่วไปคือ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (ประมาณ 22.4 IU) อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์เพิ่มเติมในการป้องกันโรค หรือผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำปริมาณที่สูงขึ้น โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 40 – 200 IU ต่อวัน
ข้อควรระวัง
การรับประทานวิตามินอีในปริมาณที่สูงมากเกินไป (เช่น เกิน 1,500 IU ต่อวัน) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาจยับยั้งการจับตัวของลิ่มเลือด และอาจมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งต่อมลูกหมากในบางงานวิจัย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสมก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอีในปริมาณสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่