ชื่อ – ชนิด พันธุ์
กระท้อนปุยฝ้าย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Sandoricum Koetjape Burm.f. Mer.
ประวัติ
เป็นพันธุ์พื้นเมืองของ ต.ตะลุง และถือว่าเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกและรับประทานกันมากที่สุดเพราะให้ผลที่มีรสหวาน เมื่อทานแล้วจะหมือนกับว่าปุยกระท้อนละลายในปากได้เลย เปลือกนิ่ม และเม็ดกระท้อนให้ปุยมาก ขนาดผลมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ สีเหลืองนวลสวย ลูกกลมแป้น
รูปร่าง รูปทรง ( ต้น ราก ใบ ดอก ผล )
- เป็นไม้ยืนต้น เป็นไม้ผลเขตร้อน เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15 – 30 เมตร เปลือกต้นสีเทามี
- ใบกระท้อนจะเรียงสลับบนก้านกิ่งที่แตกยอดออกมา มีสีเขียวอ่อนและเข้มขึ้น เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและสีแดงแล้วจะหลุดร่วงหล่นไป ลักษณะของใบกระท้อนเป็นรูปไข่หรือรี ขอบใบเรียบเป็นคลื่น แตกใบย่อยความละ 3 ใบบนก้านกิ่งย่อย มีไขนวลปกคลุม ด้านล่างมีเส้นใบเด่นชัด
- ดอกกระท้อนจะมีความยาวประมาณ 4-16 ซม. แทงช่อแยกแขนงออกตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกเล็กสีเขียวอมเหลือง ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
- ต้นกระท้อนให้ผลอ่อนสีเขียว เมื่อเด็ดออกจะเห็นน้ำยางสีขาวมาก ผลแก่จะมีน้ำยาสีขาวน้อยลงเปลือกนอกจะมีสีเหลืองผิวสากคล้ายกำมะหยี่ ภายในผลจะมีปุยสีขาวห่อหุ้มเมล็ดอยู่ ซึ่งพัฒนามาจากเปลือกหุ้มเมล็ด รับประทานได้
ความสูงเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่
สูง 15 -30 เมตร
ความกว้างทรงพุ่มเมื่อโตเต็มที่
ทรงพุ่มกว้าง 7 – 12 เมตร
ความต้องการแสง
- ต้องการแสงแดด 100%
ความต้องการน้ำ
- รดน้ำ 1 – 2 วัน/ครั้ง
ชอบดินประเภท
- ชอบดินร่วน ดินร่วนปนดินเหนียว
ประโยชน์การใช้สอย
- กระท้อนปุยฝ้าย เป็นผลไม้มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงโลหิต แก้ลมจุกเสียด เนื้อกระท้อนอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม เหล็ก ไนอะซิน วิตามินเอ วิตามินบี 1 และวิตามินซี ใบ ผสมน้ำต้มอาบขับเหงื่อ แก้ไข้ รักษาโรคผิวหนัง ราก ใช้เป็นยาดับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้มาลาเรีย แก้บิด แก้ท้องร่วง หรือตำกับน้ำและน้ำส้มสายชู ดื่มแก้ท้องเดิน และช่วยขับลม
การเก็บเกี่ยว
- ผลผลิตจะออกช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
การขยายพันธุ์
- การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง
คลิกเพิ่มเพื่อน! แจ้งเตือนบทความใหม่ก่อนใคร ฟรี!!
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
- สารบัญ