ชื่อ – ชนิด พันธุ์
ต้นแมงดา หรือ ทำมัง,ธัมมัง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Litsea Petiolata Hook.f.
ประวัติ
ถิ่นกำเนิด มาลายูและภาคใต้ของไทย
รูปร่าง รูปทรง ( ต้น ราก ใบ ดอก ผล )
- ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มรูปกรวยกว้างหรือรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบ หรือแตก เป็นสะเก็ดเล็กบางๆ และมีรอยด่างสีขาวกระจายทั่วไป
- ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี กว้าง 6-10 ซม. ยาว 8-12 ซม. ปลายใบ เรียวแหลมเป็นติ่ง โคนใบสอบเรียบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางแต่ค่อนข้างเหนียวและย่นเป็นลอน สีเขียวสดเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวนวล ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ใบอ่อนสีน้ำตาล อมชมพู มีขนสีเทาละเอียดปกคลุมทั้งสองด้าน
- ดอก สีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ที่กิ่งแก่ขนาดเล็ก กระจุกละ 6-8 ดอก ดอกตูมทรงกลม กลีบรวมเรียง 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบสีเขียวรูปช้อนสั้นๆ เกสรเพศผู้12 อัน เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 0.5-0.8 ซม. ก้านดอกยาว 0.8-1 ซม.
- ผล ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมรีหรือรูปไข่ กว้าง 0.5-0.8 ซม. ยาว 1-1.5 ซม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกสีน้ำเงินเข้ม มีคราบสีขาวฐานรองรับผลเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 6 แฉก เมล็ดรูปไข่ สีน้ำตาล
ความสูงเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่
สูง 10-15 เมตร
ความกว้างทรงพุ่มเมื่อโตเต็มที่
ขนาดทรงพุ่ม 4-6 เมตร
ความต้องการแสง
- ชอบแสงแดด 100%
ความต้องการน้ำ
- ต้องให้น้ำเพียงพอ ระบายน้ำดี ไม่แฉะเกินไป ปลูกช่วงแรกต้องรดน้ำทุกวัน
ชอบดินประเภท
- ชอบดินรวนปนทราย
ประโยชน์การใช้สอย
- ใบ เปลือก ผล ใช้ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงเลือด
- นิยม ใช้ ใบอ่อน นำมาทำเป็นผักจิ้ม
- ใบแก่ เปลือก นิยมนำมาตำกับน้ำพริก
- ให้กลิ่นคล้ายกลิ่นแมงดานา เหมาะสำหรับคนที่รับประทานมังสวิรัติ
- ลำต้น ในอดีตนิยมนำมาทำเป็นไม้กระดาน ซึ่งเนื้อไม้ ปลวกหรือ มอด จะไม่กัดกิน
- นิยมนำไม้มาทำสาก ตำน้ำพริก เนื่องจากให้กลิ่นคล้ายกับกลิ่นแมงดานาตัวผู้
การเก็บเกี่ยว
- ออกดอกเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม
- ติดผลเดือน เมษายน – มิถุนายน
การขยายพันธุ์
- การเพาะเมล็ด
- การตอนกิ่ง
คลิกเพิ่มเพื่อน! แจ้งเตือนบทความใหม่ก่อนใคร ฟรี!!
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
- สารบัญ