ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ( pH )
ค่า pH กับ ธาตุอาหารสำหรับพืช
ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารต่างๆในดิน ที่พืชจะดูดซึมเอาไปใช้ได้ง่าย มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสภาพหรือระดับ pH ของดินเป็นอย่างมาก ธาตุอาหารจะคงสภาพที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ง่าย และมีปริมาณมาก ที่ pH ช่วงหนึ่ง ถ้าดินมี pH ที่ต่ำหรือสูงกว่าช่วงนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นรูปที่ยากต่อพืชจะดูดซึมเอาไปใช้ได้ เช่น ฟอสฟอรัส ( P ) จะอยู่ในรูปของสารละลายที่พืชนำไปใช้ได้ง่าย เมื่อดินมี pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.0 ถ้าดินมี pH สูง หรือต่ำกว่าช่วงนี้ ความเป็นประโยชน์ของ ฟอสฟอรัส ก็ลดน้อยลง
ปุ๋ยฟอสเฟต ที่เราใส่ลงไปในดินจะเป็นประโยชน์ต่อพืช มากที่สุดก็เมื่อดินมี pH อยู่ในช่วงดังกล่าว ปุ๋ยฟอสเฟตที่ใส่ลงไปในดินจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชทั้งหมด แต่จะสูญเสียไปโดยทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่างๆ ในดิน และแปรสภาพเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยาก มากกว่า 80% ซึ่งเราเรียกว่า ฟอสเฟตถูกตรึง ปุ๋ยฟอสเฟตจะถูกตรึงได้ง่ายและมากขึ้น ถ้าดินมี pH สูงหรือต่ำกว่าช่วง pH ดังกล่าว
ธาตุอาหารพืชพวกจุลธาตุ ( Micronutrients ) เช่น สังกะสี เหล็ก แมงกานีส โบรอน จะละลายออกมาอยู่ในสภาพที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ง่าย และพอเพียงกับความต้องการของพืช เมื่อดินมี pH เป็นกรดอ่อนๆ ถึงกรดปานกลาง ( ระดับ 6.0-7.0 ) มากกว่าเมื่อดินมี pH เป็นกลาง หรือเป็นด่าง ( มากกว่า 7.0 ) ในทางตรงข้ามธาตุอาหารโมลิบดินัม จะเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ดีขึ้น ถ้าดินมี pH เป็นกลางถึงด่างอ่อน แต่เมื่อสรุปความได้เปรียบและเสียเปรียบ ระหว่างความเป็นกรด–ด่างของดินแล้ว ดินที่เหมาะสำหรับปลูกพืชควรจะมี pH อยู่ในช่วงเป็นกรดอ่อน ถึงเป็นกรดปานกลาง
ค่าความเป็นกรด เป็นด่างของดิน กับ จุลินทรีย์
ความสำคัญของ pH ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของจุลินทรีย์ต่างๆ ในดินด้วย ปกติสารอินทรีย์ต่างๆ ในดินจะเน่าเปื่อยผุพัง โดยมีจุลินทรีย์ต่างๆ เข้าย่อยสลาย ขณะที่สารอินทรีย์พวกนี้กำลังสลายตัว ก็จะปลดปล่อยธาตุอาหารต่างๆ ออกมา ซึ่งรากพืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ พวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เมื่อใส่ลงไปในดินทำให้พืชงอกงามดีขึ้น ก็เพราะจุลินทรีย์พวกนี้เข้าย่อย และทำให้ปุ๋ยคอกสลายตัว และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชอีกทีหนึ่ง
การที่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้ช้ากว่าปุ๋ยเคมี ก็เพราะปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ต้องรอให้จุลินทรีย์เข้าย่อยสลายก่อน ผิดกับปุ๋ยเคมีที่เมื่อละลายน้ำแล้ว พืชก็สามารถดูดซึมเอาธาตุอาหารจากปุ๋ยเคมีไปใช้ได้ทันที
จุลินทรีย์ต่างๆ ที่เข้าย่อยสลายปุ๋ยคอก และสารอินทรีย์ต่างๆ ตลอดจนฮิวมัสในดินนั้น จะทำงานได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ เมื่อ pH ของดินอยู่ระหว่าง pH 6.0-7.0
ถ้าดินเป็นกรดแก่จัด ถึงกรดแก่จัดรุนแรง จุลินทรีย์ในดินจะทำงานได้ช้าลง ปุ๋ยคอกและสารอินทรีย์ในดินจะสลายตัว และเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ช้ามาก
ค่า pH ที่เหมาะสมกับการปลูกพืช
เมื่อค่า pH มีผลโดยตรงต่อการละลายและปริมาณธาตุอาหารต่างๆ ในดิน การตรวจวัดค่า pH และปรับสภาพ pH ให้เหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดนั้นๆ ทำให้พืชที่เพาะปลูกเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตสูง ต่อไปเป็นค่า pH ที่เหมาะสมกับการปลูกพืชบางชนิด
จากตาราง ความสัมพันธ์ระหว่าง ค่า pH กับ การละลายตัวของธาตุอาหารในดิน เราจะสังเกตุเห็นว่า ธาตุอาหารละลายตัวได้ดี และครบถ้วนที่สุด ในช่วง pH ระหว่าง 6.0 – 7.0 หรือในสภาวะที่ดิน มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ
การตรวจวัดค่าความเป็นกรด–เบสของดิน ( SOIL pH )
ความเป็นกรด–เบส หรือค่าพีเอชของดิน แต่ละชั้นบอกถึงลักษณะดินต้นกำเนิด สารเคมีที่อยู่ในฝนหรือน้ำที่ไหลลงสู่ดิน การจัดการดิน และกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในดิน ( พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ) เช่นเดียวกับพีเอชของน้ำ พีเอชของดินวัดโดยใช้ค่าล็อก pH ของดินเป็นตัวบ่งชี้สมบัติทางเคมีของดินและธาตุอาหารในดิน กิจกรรมของสารเคมีในดินส่งผลต่อพีเอช พืชแต่ละชนิดก็จะขึ้นได้ในดินที่มีพีเอชต่างกัน เกษตรกรจึงมักจะใส่สารลงไปในดินเพื่อเปลี่ยนค่าพีเอชให้เหมาะกับชนิดของพืชที่จะปลูกพีเอชของดินยังมีผลต่อพีเอชของน้ำใต้ดินหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง ดังเช่น แม่น้ำ หรือทะเลสาบ ค่าพีเอชของดินมีค่า 1 – 14 จำแนกเป็นค่าพิสัยได้ 10 ระดับ ดังนี้
วิธีการตรวจวัด
การเตรียมตัวอย่างดินสำหรับห้องปฏิบัติการ
- ใช้ตะแกรงร่อนดินเบอร์ 10 ( ช่องตะแกรงขนาด 2 มิลลิเมตร ) เหนือกระดาษ แล้วเทดินตัวอย่างลงในตะแกรง ใส่ถุงมือยางเพื่อกันไม่ให้กรดและเบสจากมือของผู้ปฏิบัติไปทำให้ค่าพีเอชของดิน ผิดไปจากความเป็นจริง
- ค่อยๆ เขี่ยเบาๆ ทำให้ดินผ่านช่องตะแกรงลงไปบนกระดาษ อย่าดันจนตะแกรงลวดโก่งด้วยการกดดินแรงเกินไป หยิบเอาหินและสิ่งปะปนอื่นๆ ออกจากตะแกรงทิ้งไป เก็บรักษาตัวอย่างดินที่ร่อนแล้ว แต่ละชนิดไว้สำหรับการวิเคราะห์อื่นๆ
- นำดินตัวอย่างที่เอาหินออกแล้วจากกระดาษใต้ตะแกรงร่อนลงในถุงพลาสติกหรือภาชนะที่แห้งและสะอาด ปิดปากภาชนะ และเขียนฉลากไว้ที่ถุงเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ที่ภาชนะที่ใช้เก็บดินภาคสนาม ( เลขที่ชั้นดิน ระดับความลึกชั้นตัวอย่างดิน วันที่ ชื่อจุดศึกษา ตำแหน่งจุดศึกษา ฯลฯ ) ตัวอย่างดินนี้สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์อื่นๆ ในห้องปฏิบัติการบนฉลาก ให้เขียนชื่อจุดศึกษา เลขที่ตัวอย่างดิน เลขที่ชั้นดิน ความลึกระดับบนสุดจากผิวดิน ความลึกระดับล่างสุดจากผิวดิน วันที่ที่เก็บตัวอย่างดิน
- เก็บรักษาตัวอย่างดินนี้ไว้ในที่ที่ปลอดภัย ในที่แห้งจนกว่าจะนำไปใช้
การตรวจวัดค่าความเป็นกรด–เบสของดิน
- ชั่งตัวอย่างดินที่แห้งและร่อนแล้วมา 20 กรัม เทลงในบีกเกอร์ แล้วเติมน้ำกลั่น 20 หรือ 100 มิลลิลิตร เพื่อให้ได้อัตราส่วนดิน : น้ำ เท่ากับ 1 : 1 ในกรณีดินร่วนและดินทราย หรืออัตราส่วน 1 : 5 ในกรณีดินเหนียว ( ดินในประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้อัตราส่วน 1 : 5 )
- ใช้แท่งแก้วคนดินนานเวลา 30 วินาที แล้วพักทิ้งไว้ 3 นาที ทำอย่างนี้ 5 ครั้ง
- เมื่อคนดินครบ 5 ครั้งแล้ว ตั้งทิ้งไว้จนดินในบีกเกอร์ตกตะกอน จะเห็นน้ำใสๆ อยู่บริเวณด้านบน
- จุ่มกระดาษวัดค่าพีเอช หรือปากกาวัดค่าพีเอชที่ปรับค่ามาตรฐาน ลงไปในบริเวณน้ำใสๆ อย่าจุ่มลงไปให้โดนดินด้านล่าง รอจนค่าหยุดนิ่ง แล้วอ่านค่าพีเอช
- เมื่อวัดค่าพีเอชเสร็จแล้ว ใช้น้ำกลั่นล้างปากกาวัดค่าพีเอชบริเวณส่วนที่สัมผัสกับดินให้สะอาด แล้วใช้กระดาษทิชชูซับให้แห้ง
วิธีวัดค่าความเค็มของดิน
วิธีวัดค่าความเค็มมีหลายวิธี แต่ที่นิยมกันโดยทั่วไป ดูจากความเข้มข้นของความเค็มที่วัดได้ ซึ่ง มักจะใช้การนำไฟฟ้าของดิน ( Electrical conductivity : EC ) มีหน่วยความเข้มข้นเป็น dS/m ค่าการนำไฟฟ้า ของดินที่สกัดได้จากดินวัดจากการละลายขณะที่อิ่มตัวด้วยนำ้ ( Electrical conductivity at Saturation extract; Ece ) ที่ 25 องศาเซลเซียส มาใช้ประเมินปริมาณเกลือและอิทธิพลของเกลือในดินต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของพืชซึ่งแสดงความสัมพันธ์ที่สังเกตได้พอสังเขปดังนี้
ธาตุอาหารในดินสำหรับพืช
A : ธาตุอาหารหลัก ( Major Elements ) : พืชต้องการใช้ปริมาณมาก
1. ไนโตรเจน ( N : Nitrogen )
- ใบ : สังเคราะห์แสงสร้างคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบมีสีเขียว
- ลำต้น : ช่วยทำให้พืชตั้งตัวได้เร็ว ในระยะแรกของการเจริญเติบโต อย่างแข็งแรงสมบูรณ์
มีหน้าที่ : เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ช่วยให้พืชมีสีเขียว เร่งการเจริญเติบโตทางใบ หากพืชขาดธาตุนี้จะแสดงอาการใบเหลือง ใบมีขนาดเล็กลง ลำต้นแคระแกร็นและให้ผลผลิตต่ำ
2. ฟอสฟอรัส ( P : Phosphorus )
- ดอก : ช่วยการออกดอก ผสมเกสร เร่งการออกผล สร้างเมล็ด
- ราก : ช่วยให้รากใหญ่แข็งแรง กระจายตัวได้ดี ดูดอาหารไปใช้ได้ดี
มีหน้าที่ : ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ระบบรากจะไม่เจริญเติบโต ใบแก่จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลและหลุดร่วง ลำต้นแกร็นไม่ผลิดอกออกผล
3. โพแทสเซียม ( K : Potassium )
- ผล : เร่งการออกผล สร้างเมล็ด สร้างแป้ง น้ำตาล และโปรตีน ผลใหญ่ขึ้น รสหวานขึ้น สีของเนื้อผลไม้ สวยสด มีคุณภาพสูง
มีหน้าที่ : เป็นธาตุที่ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล ช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดี ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงบางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะไม่แข็งแรง ลำต้นอ่อนแอ ผลผลิตไม่เติบโต มีคุณภาพต่ำ สีไม่สวย รสชาติไม่ดี
B : ธาตุอาหารรอง ( Sub Elements )
4. แคลเซียม ( Ca : Calcium )
เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด พืชขาดธาตุนี้ใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และมีคุณภาพไม่ดี
5. แมกนีเซียม ( Mg : Magnesium )
เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์พอเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ด ถ้าขาดธาตุนี้ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบจะร่วงหล่นเร็ว
6. กำมะถัน ( S : Sulfur )
เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามิน ถ้าขาดธาตุนี้ทั้งใบบนและใบล่างจะมีสีเหลืองซีด และต้นอ่อนแอ
C : จุลธาตุ ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย ( Trace Elements )
7. เหล็ก ( Fe : Iron )
ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสงและหายใจ ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีขาวซีดในขณะที่ใบแก่ยังเขียวสด
8. แมงกานีส ( Mn : Manganese )
ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองในขณะที่เส้นใบยังเขียว ต่อมาใบที่มีอาการดังกล่าวจะเหี่ยวแล้วร่วงหล่น
9. ทองแดง ( Cu : Copper )
ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้ง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะชะงักการเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดำ ใบอ่อนเหลือง และพืชทั้งต้นจะชะงักการเจริญเติบโต
10. สังกะสี ( Zn : Zinc )
ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซิน คลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองซีดและปรากฏสีขาวๆ ประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียว รากสั้นไม่เจริญตามปกติ
11. โบรอน ( B : Boron )
ช่วยในการออกดอกและการผสมเกสร มีบทบาทสำคัญในการติดผลและการเคลื่อนย้ายน้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายของฮอร์โมน การใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและการแบ่งเซลล์ ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะตายแล้วเริ่มมีตาข้าง แต่ตาข้างก็จะตายอีก ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา โค้งและเปราะ
12. โมลิบดินัม ( Mo : Molybdenum )
ช่วยให้พืชใช้ไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจน ใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วย ปรากฏจุดเหลืองๆ ตามแผ่นใบ
13. คลอรีน ( Cl : Chlorine )
มีบทบาทบางประการเกี่ยวกับฮอร์โมนในพืช ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะเหี่ยวง่าย ใบสีซีด และบางส่วนแห้งตาย