ชื่อ – ชนิด พันธุ์
ประดู่ป่า หรือ ประดู่เสน,ดู่,ดู่ป่า,จิต๊อก,ตะเลอ,เตอะเลอ,ฉะนอง,กะเลน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Pterocarpus Macrocarpus
ประวัติ
พบในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ลาว ไทย กัมพูชา และทางใต้ของเวียดนาม ในประเทศไทยกระจายพันธุ์ในป่าเบญจพรรณชื้น และในป่าดิบแล้งทั่วไป ยกเว้นภาคใต้
รูปร่าง รูปทรง ( ต้น ใบ ดอก ผล )
- ไม้ต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ นอกสีน้ำตาลดำ หนา แตกสะเก็ด เปลือกในสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึก มีน้ำยางมาก เนื้อไม้แข็งสีแดงอมเหลือง มีลวดลายสวยงาม
- ใบ รีมนแกมรูปไข่เรียวแคบ ปลายใบเป็นติ่ง โคนใบมน ขอบเรียบ
- ดอก ช่อกระจะแยกแขนง ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองแกมแสด รูปถั่ว กลีบเลี้ยงสีน้ำตาลอมเขียว หรือสีเขียว 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 2 แฉก แบ่งเป็นอันบน 2 กลีบติดกัน และอันล่าง 3 กลีบติดกัน กลีบยาวประมาณ 6 – 8 มิลลิเมตร กลีบดอก รูปผีเสื้อ มี 5 กลีบ ยาวประมาณ 8 – 15 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศเมียมี 1 อัน ดอกมีกลิ่นหอม
- ผล มีขนาดใหญ่ ผลเป็นรูปโล่ ตรงกลางนูน
ความสูงเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่
สูง 15 – 30 เมตร
ความกว้างทรงพุ่มเมื่อโตเต็มที่
เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกว้าง 7 – 8 เมตร
ความต้องการแสง
- ชอบแดด 100%
ความต้องการน้ำ
- เมื่อทำการย้ายกล้าเสร็จให้ ทำการรดน้ำเพียงเล็กน้อย 2 ครั้ง เช้าเย็นในช่วงอาทิตย์แรก หลังจากนั้นอาจรดน้ำเพียงวันละครั้งหรือวันเว้นวันเมื่อกล้าโตแล้ว
ชอบดินประเภท
- ชอบดินตะกอนหรือ ดินที่เกิดจากภูเขาไฟ
ประโยชน์การใช้สอย
- สารสกัดจากใบสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ตามตำรับยาระบุให้ใช้ใบประดู่ป่า 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย
- แก่นมีรสขมฝาดร้อน มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง
- แก่นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยแก้โลหิตจาง
- ผลมีรสฝาดสมาน มีสรรพคุณเป็นยาแก้อาเจียน
- ใบใช้เป็นยาพอกฝีให้สุกเร็ว ใช้พอกบาดแผล
- ใบใช้เป็นยาพอกแก้ผดผื่นคันได้
- เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างทั่วๆ ไป เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องดนตรี
- แก่นให้สีแดงคล้ำใช้ย้อมผ้า
- ใช้เป็นฟืนและถ่าน
การเก็บเกี่ยว
- ออกดอกในระหว่างเดือนมีนาคม – เดือนเมษายน
- ผลแก่เดือนพฤษภาคม – เดือนมิถุนายน
การขยายพันธุ์
- การเพาะเมล็ด
- การเสียบยอด
- การทาบกิ่ง
- การตอนกิ่ง