ชื่อ – ชนิด พันธุ์
ประดู่แดง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Phyllocarpus septentrionalis Donn. Smith
ประวัติ
เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-12 เมตร ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อน เรือนยอดแผ่กว้างกิ่งลู่ลง ผลัดใบ ใบเป็นรูปมนรีออกเป็นคู่ สลับกันตามลำต้นลักษณะของใบปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ มีสีเขียว ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกสีแดงสดดอกจะบานไม่พร้อมกัน จะทยอยกันบานไล่ขึ้นไปตั้งแต่โคนก้านช่อจนถึงปลายช่อ เวลาบานจะแดงสพรั่ง ทั้งต้น เกสรยาวยื่นออกมากลางดอก ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนาน โค้งเล็กน้อยเมล็ดแบนมีถิ่นกำเนิดในประเทศกัวเตมาลา ทวีปอเมริกาใต้
รูปร่าง รูปทรง ( ต้น ใบ ดอก ผล )
ไม้ต้น สูง 10-20 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างกิ่งลู่ลง ผลัดใบ เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีเรือน ยอดแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้าง ออกดอกราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม แต่ดอกจะอยู่ไม่ทนนัก
- ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่เรียงสลับ ใบคู่ที่อยู่ตรงปลายกิ่งขนาดใหญ่ที่สุด แผ่นใบรูปหอก ขอบเรียบผิวเกลี้ยงทั้งสองด้านสีเขียว ใบย่อย 3-5 ใบ รูปใบหอก รูปไข่รี กว้าง 2 ซม. ยาว 6 ซม.
- ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่งเป็นกระจุก 3-5 ช่อ กลีบเลี้ยงสีแดง ดอกสีแดงเข้ม ออกดอกเดือน มกราคม- กุมภาพันธุ์
- ผล เป็นฝักแบนรูปขอบขนานโค้งเล็กน้อย เมล็ดแบน
ความสูงเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่
- สูงประมาณ 20 เมตร
ความกว้างทรงพุ่มเมื่อโตเต็มที่
กลม แผ่กว้าง 6 – 10 เมตร
ความต้องการแสง
- ต้องการแสงแดด 100 %
ความต้องการน้ำ
- ประดู่แดงชอบน้ำปานกลาง หากปลูกไว้ตามที่พักอาศัยควรรดน้ำ เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ซึ่ง ประดู่จัดเป็นไม้ที่ทนแล้งได้ดี
ชอบดินประเภท
- ชอบดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดี
ประโยชน์การใช้สอย
- เปลือกต้นมีรสฝาดจัด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย
- แก่นเนื้อไม้ใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้เสมหะ
- รากใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้พิษไข้
- ใบนำมาตากแห้งใช้ชงกับน้ำร้อนเป็นชาใบประดู่ นำมาดื่มจะช่วยบรรเทาอาการระคายคอได้
- ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง
- ยางไม้ประดู่มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “Gum Kino” สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้โรคท้องเสียได้
- ไม้ประดู่เป็นไม้ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป
การเก็บเกี่ยว
- ออกดอกเดือนมกราคม-มีนาคม
การขยายพันธุ์
- เพาะเมล็ด
คลิกเพิ่มเพื่อน! แจ้งเตือนบทความใหม่ก่อนใคร ฟรี!!
ดูข้อมูลเพิ่มเติม